ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน (ตอนที่ 2)

หลังจากที่ห่างหายจากบล็อกนี้มานานหลายวัน มัวแต่ไปโม้เรื่องการท่องเที่ยวในบล็อกพาเที่ยว..... http://ninapatell.blogspot.com/ (NINA พาเที่ยว) วันนี้ว่างงานเป็นวันแรก...เลยขอเล่าเรื่องราวและประสบการณ์ชีวิตของตัวเองให้เพื่อนๆ ฟังกันต่อนะคะ


หลังจากที่พ่อแม่อนุญาตให้ไปทำงานที่ร้านเสริมสวยในจังหวัดเชียงใหม่แล้ว...ตอนนั้นอายุประมาณ 11 ย่าง 12 ปี...ทำงานได้ค่าจ้างวันละ 10 บาท เดือนละ 300 บาท...อาหารฟรี ที่พักฟรี...ทำงานไม่มีวันหยุด...เริ่มงานประมาณ 6.00 โมงเช้า..ก็ตั้งแต่ตื่นลืมตานั่นแหละค่ะ....ทำงานถึงประมาณ 2 ทุ่ม ร้านก็ปิด....เริ่มงานตอนเช้าตรู่โดยต้องนำผ้าเช็ดผมผืนเล็กๆ กองใหญ่ๆ มาซักตากให้แห้ง (ซักมือนะคะไม่มีเครื่องซักผ้าให้) หลังจากนั้นก็ทำความสะอาดบริเวณร้าน...ซึ่งร้านที่ทำงานอยู่นี้เป็นตึกแถว 3 ชั้น..ครั้งแรกที่มาอยู่เจ้าของร้านให้พักที่ห้องรับแขก...เป็นห้องพักที่ค่อนข้างดีมาก...ยังอดคิดไม่ได้ว่า....เจ้าของร้านใจดีจังเลย...ให้ลูกจ้างพักห้องที่ใหญ่กว่าห้องของตัวเองอีก...แต่ผ่านไปได้เพียงอาทิตย์เดียวเท่านั้น.....เจ้าของร้านก็บอกให้นีน่ากับเพื่อนย้ายขึ้นไปพักชั้นบนสุด...เป็นห้องเล็กๆ ปูที่นอนบางๆ นอนกับพื้น....มีกระจกเก่าๆ ที่ใช้แล้วหนึ่งใบ....ให้ไว้ส่องดูเงาตัวเอง


สำหรับการทำงานหน้าร้านเสริมสวย...นีน่ากับเพื่อนได้รับตำแหน่งเป็นผู้ช่วยช่าง...ฟังดูดีนะคะ...หน้าที่จริงๆ คือ เด็กสระผม...ทำเล็บมือเล็บเท้า...ยืนจับไดร์เป่าผมให้ช่าง...อะไรประมาณนี้แหละค่ะ...ถ้าวันไหนลูกเยอะก็ยืนกันทั้งวัน...ข้าวปลาไม่ต้องถามหา...ต้องสลับสับเปลี่ยนกันมากิน...ส่วนอาหารที่ทางร้านจัดไว้ให้เท่าที่จำได้ก็คือ..ผัดผักรวม...ได้กินแทบทุกวัน...สงสัยเจ้าของร้านอยากให้เรามีสุขภาพดี...กินผักเยอะๆ จะได้แข็งแรง :) แต่ก็อร่อยดีค่ะ....ทานกับข้าวสวยร้อนๆ มีประโยชน์ต่อสุขภาพ 


ทำงานที่นี่ได้ 1 ปีเต็มก็ขออนุญาตเจ้าของร้านลาออกจากตำแหน่ง..แต่เพื่อนยังทำงานต่อ...สาเหตุที่ต้องลาออกเป็นเพราะ....ตอนกลับบ้านไปเยี่ยมครอบครัว...แม่เล่าให้ฟังว่า....ลูกสาวของยายข้างบ้านอยากได้พี่เลี้ยงเด็ก...ไปดูแลลูกสาวตัวเล็กๆ ของเค้าที่กรุงเทพฯ อายุประมาณ 3 ขวบ ซึ่งยายที่พูดถึงนี้ คือ หมอตำแยทำคลอดให้แม่ตอนที่นีน่าคลอด เพราะสมัยก่อนต้องทำคลอดกันเองในหมู่บ้าน...ใช้บริการจากหมอตำแย....ไม่ได้ไปคลอดที่โรงพยาบาลเหมือนปัจจุบัน....เนื่องจากโรงพยาบาลอยู่ไกลประมาณ 30 กิโลเมตร...การเดินทางและถนนหนทางยังไม่พัฒนาเหมือนปัจจุบัน...รวมทั้งชาวบ้านส่วนใหญ่ก็ยังมีฐานะยากจนกันอยู่...ต้องใช้เกวียนเป็นพาหนะ


เมื่อตัดสินใจลาออกงานที่ร้านเสริมสวย....ก็เดินทางเข้ากรุงเทพฯ   ไปทำงานกับลูกสาวของหมอตำแย...ซึ่งการเดินทางไปกรุงเทพฯ ครั้งแรกในชีวิตนี้...ต้องติดสอยห้อยตามคนรู้จักไป...ไม่ได้เดินทางไปกับนายจ้างคนใหม่หรอกค่ะ...เขาบอกจะรอรับอยู่ที่กรุงเทพฯ ...จึงทำให้แม่เป็นห่วงและขอเดินทางไปส่งนีน่าที่กรุงเทพฯ  ด้วยคน...โดยพาน้องชายคนเล็กที่อายุประมาณ 2 ขวบกว่าๆ เดินทางไปด้วยกัน


ชีวิตของคนต่างจังหวัดเมื่อต้องเดินทางเข้ามาทำงานและพักอาศัยอยู่ใน "กรุงเทพมหานคร" เมืองหลวงของประเทศไทย...ที่ใครหลายคนต่างคิดว่า...ศิวิไลซ์และกว้างใหญ่ไพศาล....ภาพของเพื่อนบ้านที่นีน่ารู้จัก...ในยามที่กลับมาเยี่ยมบ้านทุกครั้ง....พวกเขาช่างดูดีมีสกุลเสียเหลือเกิน...แต่งตัวดี...ซื้อของมาฝากพ่อกับแม่แทบทุกครั้ง...ดูดีมีเงินใช้แบบสุขสบาย....ซึ่งมันทำให้นีน่าเข้าใจว่า....พวกเขาคงอยู่ดีมีสุข...ได้อยู่ในสถานที่ที่สุขสบาย...ทำงานดี...มีบ้านพักหลังใหญ่...มีอาหารดีๆ อร่อยๆ ให้กินทุกวัน....มีรถเก๋งคันโตคอยรับส่ง...และอีกมากมายในจินตนาการของหนูน้อยนีน่าที่คิดและเข้าใจไปเอง....แต่ก็นั่นแหละค่ะ....มันคือ จินตนาการ ของหนูน้อย....เข้าใจผิดและคิดไปเอง...ในโลกแห่งความจริงแล้ว....ทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่คิดที่หวังไว้เลยสักนิด


สภาพแวดล้อมที่พวกเขาอยู่ในแต่ละวัน...วิถีชีวิตที่ต้องต่อสู้ดิ้นรน...ต้องนั่งรถประจำทางวันละหลายชั่วโมงกว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง...ต้องพักอาศัยอยู่ในห้องเช่าเล็กๆ แคบๆ ซึ่งดูไม่ Balance กับจำนวนผู้พักอาศัยหลายชีวิตเอาเสียเลย....ถนนหนทางที่เดินเข้าไปบริเวณห้องเช่าก็สุดแสนจะน่ากลัว...เต็มไปด้วยผู้คนหลากหลายอาชีพ....หลากหลายแบบ....รวมทั้งคนงานต่างด้าวที่พักอาศัยอยู่บริเวณนั้นกำลังนั่งล้อมวงดื่มสุราอยู่สองข้างทางอย่างสนุกสนาน...เห็นภาพเช่นนั้นแล้ว...A Small girl in the Big City ก็อดหวั่นใจไม่ได้ว่า....ตนเองจะสามารถทำงานและอาศัยอยู่ในเมืองอันศิวิไลซ์นี้ได้นานแค่ไหน


หลังจากได้เห็นวิถีชีวิตของคนต่างจังหวัดที่เข้ามาทำงานอยู่ในกรุงเทพแล้ว....ทำให้นีน่าคิดมาโดยตลอดว่า.......ถ้าชีวิตเลือกได้.......ขอใช้ชีวิตอยู่ต่างจังหวัดจะดีกว่า




นั่งมองท้องทุ่งสีเขียวขจี......มีความสุขกับไอดินกลิ่นหญ้า...มันช่างหอมหวลชวนเคลิบเคลิ้มเหลือเกิน....ได้เวลา Relax อีกแล้วค่ะเพื่อนๆ ขอไปจิบกาแฟหอมๆ ก่อนสักแก้ว...แล้วจะมาเล่าให้ฟังต่อตอนหน้า...วันนี้ ขอให้ทุกคนมีความสุขค่ะ  Have a good day ^_^





ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน (ตอนที่ 1)



คำสอนของขงจื้อได้เขียนไว้แล้วกว่าพันปี มีเนื้อหาว่า....ถ้าคุณคิดจะเป็นใหญ่ คุณก็จะได้เป็นใหญ่....ถ้าคุณคิดอยากเป็นอะไร คุณก็จะได้เป็นสิ่งนั้น....เพราะแสวงหา มิใช่เพราะรอคอย....เพราะเชี่ยวชาญ มิใช่เพราะโอกาส....เพราะสามารถ มิใช่เพราะโชคช่วย....ดังนี้แล้ว ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน

ในโพสต์ที่แล้ว นีน่าเขียนเรื่อง "เลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นได้" เป็นบทความให้กำลังใจเพื่อนๆ เล่าผ่านประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตวัยเด็กของนีน่า...เชื่อว่าหลาย ๆ คน.....เมื่อได้อ่านแล้ว คงมีกำลังใจลุกขึ้นมาต่อสู้กับปัญหาไม่มากก็น้อยนะคะ


บนโลกที่กว้างใหญ่ใบนี้....ไม่ได้มีแค่เราเพียงคนเดียวหรอกค่ะที่กำลังประสบปัญหา..หรือพบเจอกับอุปสรรคมากมาย....มีคนอีกไม่รู้กี่ล้านคนที่มีชีวิตที่แย่กว่าเราหรือมีปัญหามากกว่าเรา....ขอแค่มีสติ คิดทบทวนไตร่ตรอง...สำรวจตัวเอง...ไม่โทษดินโทษฟ้า....มีทัศนคติเชิงบวก....มองเห็นโอกาสในทุกปัญหา....มองเห็นปัญหา คือ หนทางแห่งความสำเร็จ....นีน่าเชื่อว่าไม่นานหรอกค่ะ...ทุกอย่างที่เป็นปัญหาก็จะคลี่คลาย...สิ่งดีๆ ที่เรารอคอยอยู่...ก็จะมาปรากฎให้เราเห็นอย่างเหลือเชื่อ....เขียนแค่นี้คงไม่มีใครเชื่อ....หรือบางคนอาจกำลังคิดในใจอยู่ว่า....สงสัยจะงมงาย เพ้อเจ้อ ฝันลมๆ แล้งๆ...ไม่ผิดหรอกค่ะที่คิดแบบนั้น...นานาจิตตัง...มาอ่านเรื่องราวชีวิตของนีน่ากันต่อเลยดีกว่าค่ะ...Let's go!



หลังจากจบการศึกษาระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 และหมดโอกาสที่จะศึกษาต่อในระดับชั้นมัธยม...นีน่าก็ไปสมัครทำงานที่ร้านขายของชำแห่งหนึ่งอยู่แถวๆ บ้าน....ซึ่งร้านนี้จะมีการขายกับข้าวในช่วงเย็นด้วย....หากเพื่อนๆ มีประสบการณ์ในการทำอาหารก็จะทราบว่า...อุปกรณ์ในการทำอาหาร เช่น หม้อ ทัพพี ถ้วย ช้อน จาน ชาม ต่างๆ หลังจากที่ทำเสร็จแล้ว...จะต้องนำมาล้างทำความสะอาด...ลองนึกภาพดูค่ะ...ขนาดเราทำกับข้าวกินที่บ้าน กินกันแค่ 2-5 คน เท่านั้น....อุปกรณ์พวกนี้ยังเยอะเลยค่ะ ...แต่นี่คือร้านขายกับข้าวให้คนทั้งหมู่บ้านได้ซื้อกิน...คิดดูนะคะว่าอุปกรณ์ที่จะต้องนำมาล้างทำความสะอาด...มันจะกองมหึมาขนาดไหน...นั่นแหละค่ะ หน้าที่ของเด็กหญิงนีน่า....ก้มหน้าก้มตา ล้างให้หมด ล้างให้สะอาด ค่าจ้างวันละ 20 บาท คุ้มสุดๆ 


งานแรกผ่านไปอดทนทำได้ประมาณ 1 เดือน ก็มีคนรู้จักแนะนำให้ไปทำงานร้านอาหารแห่งใหม่...อยู่ที่อำเภอสันกำแพง....ด้วยความเป็นเด็กอายุอานามก็แค่ 11 ปีกว่า ๆ ...ต้องออกจากบ้านไปทำงานต่างจังหวัดเป็นครั้งแรกในชีวิต....รู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก...นั่งเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า...ความรู้สึกตอนนั้นเศร้ามาก น้ำตาไหลพรากๆ ....ถือกระเป๋าสีเขียวใบเล็ก ๆ เก่าๆ ใบหนึ่ง เก็บเสื้อผ้าเก่าๆ ที่คิดว่าสวยและดูดีที่สุดประมาณ 3 ชุด ยัดใส่ในนั้น....เดินไปขึ้นรถกระบะสีขาวคันหนึ่งที่มาจอดรอรับ...ก่อนขึ้นรถเหลียวมองหน้าแม่กับน้องที่เดินมาส่งขึ้นรถอีกครั้ง...น้ำตาไหลร้องไห้สะอึกสะอื้นตลอดทาง...รู้สึกคิดถึงบ้าน...คิดถึงพ่อ คิดถึงแม่ คิดถึงน้องๆ เหลือเกิน




เมื่อเดินทางมาถึงร้านอาหาร....วันนั้นเป็นวันหยุดพอดี...จึงยังไม่ต้องเริ่มทำงาน....ร้านอาหารแห่งนี้เปิดขายอาหารตอนกลางวันและเปิดเป็นคาราโอเกะในตอนกลางคืน......พี่ๆ หลายคนเห็นนีน่ามีท่าทางซึมเศร้าตาแดงๆ...จึงเข้ามาปลอบและให้กำลังใจ...เมื่อเริ่มรู้สึกดีขึ้นคิดอย่างเดียวว่าต้องอยู่ที่นี่ให้ได้..เพื่อเก็บเงินส่งให้แม่ได้ใช้จ่าย....นอนร้องไห้ได้แค่คืนเดียว วันรุ่งขึ้น....แม่ก็อุ้มน้องชายนั่งรถสองแถวมาหาที่ร้าน...บอกเจ้าของร้านว่าสงสารลูกที่เห็นลูกร้องไห้ก่อนขึ้นรถ...แม่คิดว่าลูกคงไม่อยากมาทำงานที่นี่...ขอมารับกลับบ้านวันนี้เลย...นี่แหละค่ะหัวอกคนเป็นแม่...ไม่มีแม่คนไหนหรอกค่ะที่ไม่รักลูก...วันไหนที่เรายิ้ม:)....หัวใจของแม่ก็จะมีความสุขกับเรา...แต่ถ้าวันไหนที่เราร้องไห้ T_T.... หัวใจของแม่ก็แตกสลายและเป็นทุกข์ไม่น้อยไปกว่าเรา...รักท่านให้มากๆ นะคะ




เมื่อได้กลับมาอยู่บ้านพร้อมหน้าครอบครัวอีกครั้ง....รู้สึกดีใจมาก....จากไปแค่คืนเดียวแต่รู้สึกเหมือนจากชั่วนิรันดร์....รีบไปสมัครทำงานที่ใหม่ทันทีค่ะ...อยู่แถวบ้าน..เป็นร้านขายส่งแหนมกับแคบหมูหน้าที่ของนีน่า คือ นั่งห่อแหนม ค่าจ้างวันละ 20 บาท...พอดีช่วงนั้นเป็นช่วงเก็บลำไยพอดี...มีคนมาจ้างให้ไปเก็บลำไยค่าจ้างวันละ 100 บาท.......จึงขอเจ้าของร้านพักงานห่อแหนมไว้ก่อน...แล้วไปเก็บลำไยต่อ...งานที่นี่ไม่หนักมาก นั่งท้ายรถกระบะไปทำงาน เช้าไป เย็นกลับ ทำงานกับกลุ่ม สว. สนุกมาก  (ปล. เพื่อนๆ คงไม่คิดว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะมานั่งเก็บลำไยวันละ 100 นะคะ.....สว. แปลว่าสูงวัยค่ะ) อายุบุคลากรที่มาทำงานด้วยกันนี้  รวมกันแล้วคงเป็นพันปีอ่ะค่ะ....ส่วนใหญ่จะอยู่ระหว่าง 45-60 ปี ....ส่วนนีน่า 11 ย่าง 12 ค่ะ เลยรู้สึกสนุกมาก เวลาผู้สูงวัยเล่าเรื่องสนุกๆ ให้ฟัง


ทำงานได้สักระยะ....ก็หมดฤดูเก็บเกี่ยวลำไย...พอดีช่วงนั้นมีคนมาติดต่อให้ไปทำงานที่เชียงใหม่...เป็นร้านเสริมสวย...เจ้าของร้านรู้จักกับพ่อแม่....เลยมาติดต่อให้ไปทำงานที่นี่....โดยจะจ่ายค่าจ้างให้เดือนละ 300 บาท...แม่เห็นว่าเป็นงานที่ดี...ถือว่าเป็นการฝึกอาชีพไปด้วย...ถึงค่าตอบแทนจะน้อย แต่ก็ได้ความรู้และสามารถนำไปประกอบเป็นอาชีพได้...อีกทั้งไม่ได้ไปทำงานคนเดียว...มีลูกพี่ลูกน้องของนีน่าไปด้วยอีกคน...ซึ่งเราสองคนสนิทสนมกันพอสมควร....การจากบ้านไปทำงานในครั้งนี้ จึงรู้สึกดีและมีความสุขกว่าครั้งก่อน


เห็นมั้ยคะเพื่อนๆ ว่าชีวิตของนีน่าลำบากแค่ไหน...ไม่ง่ายเลยใช่มั้ยคะ....นี่แค่เสี้ยวหนึ่งของชีวิตการทำงานเท่านั้นนะคะ....เขียนมาได้ขนาดนี้แล้ว ยังมองไม่เห็นหนทางที่จะมีโอกาสดีๆ...เข้ามาในชีวิตเลยค่ะ......เหลือบมองนาฬิกา ขณะนี้เป็นเวลา 3.06 am. แล้วค่ะ ได้เวลา Time to bed แล้วค่ะ ไว้จะมาเล่าเรื่องราวเป็นบทความดีดีให้เพื่อนๆ ได้อ่านในโพสต์ต่อไปนะคะ....วันนี้พอแค่นี้ก่อน Good night ค่ะ

- We write our own destiny, We become what we do -

"ความสำเร็จที่จะได้มานั้น....มันไม่ได้มาจากโชค....ไม่ได้มาจากฟ้าลิขิต....ไม่ได้อยู่เฉยๆ มันก็มาเอง....ความสำเร็จทุกอย่างนั้นมาจากการที่เราต้องลงมือสร้างมันขึ้นมา....ทำมันขึ้นมาด้วยตัวเราเอง....อาจจะต้องใช้เวลา....แต่ถ้าเราค่อยๆ ทำมันทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน....วันหนึ่งความสำเร็จก็จะมาหาเรา" 







เลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นได้




สวัสดีค่ะ เพื่อนๆ บนโลกออนไลน์ทุกท่าน ถึงแม้ว่าเราจะไม่เคยรู้จักกันมาก่อน หรืออาจจะรู้จักกันมาก่อนบ้างแล้ว บนโลกออนไลน์หรือในชีวิตจริง แต่เมื่อเพื่อนๆ เข้ามาคลิกอ่านในบล็อกนี้แล้ว นีน่าจะถือว่าเราเป็นเพื่อนกันแล้วนะคะ ^_^

"นีน่า" (Nina)  ชื่อนี้เจ้าได้แต่ไรมา....ฮ่า ฮ่า ไม่ต้องสงสัยค่ะ หน้าไทยขนาดนี้...นี่คือ Pen Name หรือนามแฝง....เป็นนิกเนมที่เพื่อนฝรั่งชอบเรียกค่ะ...เพราะเรียกง่ายดี....ไม่มีอะไรมาก....มีพี่ที่เคารพท่านหนึ่ง ประทานนามนี้มาให้....เลยใช้ชื่อนี้ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา


ขอแนะนำตนเองอย่างเป็นทางการ  ก่อนจะนำเพื่อนๆ เข้าสู่เรื่องราวและประสบการณ์ชีวิตของนีน่า ทำไมต้องใช้ชื่อโพสต์ว่า ...."เลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นได้"....เพื่อนๆ บางคนอาจกำลังสงสัย....คำตอบ...คือ.....นีน่าอยากเขียนโพสต์นี้เพื่อให้กำลังใจเพื่อนๆ.....ที่กำลังคิดว่า....ทำไมชีวิตตัวเองถึงเกิดมาลำบากเหลือเกิน....ครอบครัวยากจน....หนังสือก็ไม่ได้เรียน....ทำงานหาเช้ากินค่ำไปวันๆ....ยิ่งคิดยิ่งเศร้า....ยิ่งทำยิ่งจน....ยิ่งอดทนยิ่งแย่.... และอะไรต่อมิอะไรที่ถาโถมข้ามาชีวิต....Oh! My God! โลกนี้ช่างโหดร้ายกับฉันซะเหลือเกิน!!!

อย่าเพิ่งหมดหวังในชีวิตค่ะเพื่อนๆ ดูชีวิตของนีน่าเป็นตัวอย่าง....จะขอเล่าเรื่องราวจากประสบการณ์ชีวิตจริงของตัวเองให้เพื่อนๆ ได้ลองอ่านดู...เพื่อเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังรู้สึก....หมดหวังท้อแท้กับชีวิตอยู่ในขณะนี้....ได้มีกำลังใจลุกขึ้นมาต่อสู้กับโชคชะตา....ที่อาจกำลังส่งบททดสอบชีวิต....มาให้พวกเราได้ศึกษาเรียนรู้...ก่อนที่จะส่งมอบของขวัญอันแสนวิเศษให้กับเรา....หากเราเข้าใจและสามารถก้าวผ่านช่วงเวลาแห่งบททดสอบนี้ไปได้... ขอเพียงแค่ให้เรามีสติและคิดถึงแต่สิ่งที่ดี...จากนั้น  สิ่งดีๆ ก็จะเข้ามาหาเราเอง 


"นีน่า"  เกิดมาในครอบครัวที่ยากจนมาก มีพี่น้องทั้งหมด 3 คน ตัวเองเป็นพี่สาวคนโต.....ตั้งแต่จำความได้ เห็นพ่อกับแม่ทะเลาะกันเกือบทุกวัน และต้องทำงานตั้งแต่เด็ก....จำได้ว่า อายุประมาณ 6 ขวบ แม่จะปลุกให้ตื่นตอนตี 1 ทุกวัน เพื่อเดินไปส่งแม่ขายของที่ตลาด นั่งขายข้าวสารกับแม่บริเวณไหล่ทางในตลาดตั้งแต่เวลาประมาณตีหนึ่งตีสองถึงเช้าทุกวัน  ถ้าง่วงมากๆ ก็จะนอนใต้โต๊ะขายของในตลาดที่แม่ค้าเอามาตั้งขายของ โดยแม่จะใช้กระสอบที่เหลือจากใส่ข้าวสารปูให้นอนกับพื้น....พอตอนเช้าติดรถพ่อค้าแม่ขายแถวนั้นกลับบ้าน เพื่อไปโรงเรียน ส่วนแม่ก็ต้องรอขายข้าวสารให้หมดก่อนถึงจะได้กลับบ้าน

พ่อของนีน่า เป็นคนเงียบ พูดน้อย พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ และชอบดื่มสุราเป็นงานประจำ หลังจากเสร็จงานอดิเรกในแต่ละวัน.....ส่วนแม่เป็นผู้หญิงที่ขยัน อดทน อัธยาศัยดี ช่างพูด ช่างเจรจามากๆๆๆ....นีน่าคิดว่าท่านทั้งสองคงรักกันมาก  ...ถึงมีลูกด้วยกันถึงสามคน....ถือไม้เท้ายอดตอง กระบองคนละด้ามมาตลอด...ท่านจึงอยู่ด้วยกันมาจนถึงทุกวันนี้...เพียงแต่ท่านมีทัศนคติที่ไม่ค่อยจะตรงกันสักเท่าไหร่..จึงชอบทะเลาะกันเป็นประจำแทบทุกวัน...และถ้าวันไหนที่ทะเลาะกันขั้นรุนแรง....แม่ก็จะไม่ไปขายของที่ตลาด นอนร้องไห้อยู่ในบ้านทั้งคืนจนเช้า...ตอนเช้านีน่าก็ต้องรีบตื่นขึ้นมาทำความสะอาดบริเวณบ้าน เพราะข้าวของกระจุยกระจายเต็มบ้าน....โดยเฉพาะเศษแก้วจากตู้เก็บของและหลอดไฟนีออนที่แตกกระจายทั่วบ้าน...จากบันดาลโทสะของพ่อ ตอนที่มีการทะเลาะกัน....ซึ่งพ่อจะไม่สามารถควบคุมสติได้เมื่อมีอาการเมาสุรา...และเหตุการณ์แบบนี้ก็เกิดขึ้นเป็นประจำ....จนเพื่อนบ้านแถวนั้นเอือมระอา

และถ้าวันไหนเหตุการณ์เลวร้ายมากๆ ....คุณตาข้างบ้าน ซึ่งตอนนี้ท่านได้เสียชีวิตไปแล้ว ถือว่าท่านเป็นผู้มีพระคุณกับนีน่าและน้องๆ มาก....ในยามที่พ่อกับแม่เข้าสู่สมรภูมิรบและทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันอย่างเอาเป็นเอาตาย....คุณตาก็จะวิ่งมาหาพวกเราจูงมือนีน่าและอุ้มน้องๆ....วิ่งออกมาจากสมรภูมิรบในบ้านอย่างรวดเร็ว...เพราะท่านเกรงว่าพวกเราจะได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ของทั้งสองฝ่าย..เหตุการณ์เป็นแบบนี้อย่างต่อเนื่อง....ตั้งแต่จำความได้ถึงปัจจุบัน....ซึ่งท่านก็ยังไม่มีการพูดคุยสมานฉันท์กันจนถึงทุกวันนี้....แต่ก็น่าแปลกที่ว่า...ท่านก็ยังอาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน....จนถึงทุกวันนี้


ตอนเรียนอยู่ระดับชั้นประถม...นีน่าเป็นเด็กที่เรียนดีมากสอบได้ที่  1 แทบทุกเทอมทุกปี แถมได้เป็นหัวหน้าห้องเกือบทุกชั้นเรียนตัั้งแต่ ป1-ป6 .....โดยมีใบประกาศนียบัตรการันตีจนนับไม่ถ้วน เช่น ชนะเลิศการอ่าน.....ชนะเลิศการเขียน....ชนะเลิศการแข่งขันคิดเลขเร็ว ฯลฯ (ไม่ได้โม้นะคะเรื่องจริง)....โดยตอนที่เรียนอยู่ก็ต้องรับจ้างทำงานทุกอย่างที่มีคนมาจ้าง.... เช่น รับจ้างทำความสะอาดบ้านครั้งละ 20 บาทต่อบ้าน 1 หลัง....รับจ้างตักน้ำ-หาบน้ำใส่ตุ่มหาบละ 1 บาท (สมัยก่อนยังไม่มีน้ำประปาใช้อย่างแพร่หลาย).....รับจ้างล้างจานที่ร้านขายอาหารวันละ 20 บาท......รับจ้างปักผ้าผืนละ 4-6 บาท......รับจ้างส่งเด็กนักเรียนซ้อนท้ายจักรยานไปโรงเรียนวันละ 5 บาท......รับจ้างถางหญ้าวันละ 50 บาท (งานนี้เหนื่อยมากตากแดดร้อนๆ ทั้งวันในทุ่งนา) ฯลฯ  ......รวมทั้งไปเก็บหอย เก็บเห็ด หาปู หาปลา หาทุกอย่างที่สามารถกินได้มาให้แม่ทำกับข้าว.....เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในครอบครัว.....ทำทุกอย่างเท่าที่เด็กน้อยคนหนึ่งจะมีแรงและสามารถทำได้....เพื่อจะได้ช่วยเหลือพ่อแม่.....และมีเงินค่าขนมไปโรงเรียนทุกวัน....โดยไม่ต้องรบกวนพ่อแม่


หลังจากเรียนจบระดับประถมศึกษาปีที่ 6 ....ทางโรงเรียนเห็นว่านีน่าเป็นเด็กที่เรียนดีแต่ยากจน....จึงประสานไปที่โรงเรียนระดับมัธยม...เพื่อขอยื่นเรื่องให้นีน่าได้รับทุนการศึกษาต่อในระดับชั้นมัธยม....แต่ชีวิตก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ...ถึงมีโอกาส...ก็ไม่สามารถศึกษาต่อได้....ซึ่งนีน่าจำได้ว่า วันนั้น มีหญิงชายคู่หนึ่ง...มาหาพ่อกับแม่ที่บ้าน....ทราบต่อมาว่าท่านทั้งสองเป็นอาจารย์ของโรงเรียนมัธยมที่ให้ทุนการศึกษาแก่นีน่า....แต่เสียดายที่นีน่าไม่อยู่บ้าน....เพราะมัวแต่ไปช้อนลูกอ๊อดที่ทุ่งนามาทำกับข้าวตอนเย็น  (ภาษาเหนือเรียกว่า "ซ้อนอีฮวก" เด็กสมัยนี้อาจจะไม่รู้จักว่ามันสามารถทานได้ เป็นเมนูระดับห้าดาวของครอบครัวนีน่า 555..)  เมื่อได้ลูกอ๊อดจนเป็นที่พอใจแล้ว ก็รีบกลับบ้าน....แต่ก่อนจะถึงบ้านก็แวะดื่มน้ำ ที่บ้านคุณน้าใจดีท่านหนึ่ง เพราะอากาศร้อนมาก....ซึ่งน้าคนนั้นบอกว่า....เมื่อสักครู่มีคนมาหาที่บ้าน เป็นอาจารย์ที่โรงเรียนมัธยม....ทราบเรื่องยังไม่ทันจบ รู้ทันทีว่าต้องเป็นเรื่องเรียนต่อแน่นอน.... จึงรีบวิ่งกลับไปบ้าน...ถามแม่ว่า  แม่ให้ไปเรียนหนังสือต่อหรือเปล่า??...แม่นิ่งสักครู่ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ ว่า...ถึงแม้ว่าลูกจะได้ทุนการศึกษา ได้เรียนฟรีไปตลอด....แต่แม่ไม่มีเงินพอที่จะซื้อเสื้อผ้า ชุดนักเรียน....หรืออุปกรณ์ทางการศึกษาให้ลูกได้

โดยช่วงชีวิตที่ผ่านมาในวัยเด็ก....เสื้อผ้าที่นีน่าสวมใส่....ส่วนใหญ่เป็นเสื้อผ้าที่ได้รับบริจาคมาจากคนที่รู้จัก....ไม่ค่อยมีโอกาสได้สวมใส่เสื้อผ้าใหม่ ๆ ....มีอยู่ครั้งหนึ่งพาน้องไปเดินเล่นแถวๆ บ้าน....เด็กน้อยคนหนึ่งเข้ามาชี้ที่ชุดที่นีน่าสวมใส่แล้วบอกให้ถอดออกซะ....เพราะนี่คือชุดของน้าเค้า....ท่ามกลางผู้คนนับสิบ...รู้สึกอายมาก...แต่ก็คิดว่าไม่เป็นไร....น้องเค้าเป็นเด็ก ยังไม่รู้เรื่องและคงพูดไปตามที่เห็น.....ถ้าเค้าโตกว่านี้เค้าคงจะไม่พูดแบบนี้...คิดได้ดังนั้นก็รู้สึกสบายใจขึ้น


เมื่อทราบแน่นอนแล้วว่า....พ่อกับแม่ปฏิเสธการเรียนต่อจากอาจารย์ทั้งสองไป...ช่วงขณะหนึ่ง...รู้สึกเศร้ามาก...น้อยใจในโชคชะตาของตัวเองเหลือเกิน....แม้โอกาสจะเดินเข้ามาหาถึงบ้าน...แต่โชคชะตาก็ไม่เปิดโอกาสให้เข้าไปไขว่คว้าได้.....คงทำได้แค่...นั่งมองตาปริบๆ  (ถ้าเพื่อนๆ นึกภาพไม่ออก ให้นึกถึง ตอนที่สุนัขนั่งมองปลากระป๋องนั่นแหละค่ะ คงจะอยู่ในอารมณ์เดียวกันเลย)  แต่ก็เศร้าได้แค่ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้นแหละค่ะ ...ชีวิตต้องดำเนินต่อไป The show must go on! and Keep walking!

เรื่องแค่นี้ไม่สามารถมาทำลายความฝัน...ความหวัง...ของนีน่าได้หรอกค่ะ...ในยามค่ำคืนบนท้องฟ้ามีดาวระยิบระยับสวยงาม...นีน่าจะชอบมานั่งที่ประตูหน้าบ้าน...แล้วแหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้า....กระซิบบอกกับตัวเองเสมอว่า....สักวันต้องได้ดี Cheer!!

“Even if we don’t have the power to choose where we come from, we can still choose where we go from there.”

-คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นได้-
"อยู่ที่ตัวเราเป็นคนกำหนด"

OTHER BLOGS THAT I WRITE
ตำแหน่ง: ประเทศไทย