สวัสดีค่ะ เพื่อนๆ บนโลกออนไลน์ทุกท่าน ถึงแม้ว่าเราจะไม่เคยรู้จักกันมาก่อน หรืออาจจะรู้จักกันมาก่อนบ้างแล้ว บนโลกออนไลน์หรือในชีวิตจริง แต่เมื่อเพื่อนๆ เข้ามาคลิกอ่านในบล็อกนี้แล้ว นีน่าจะถือว่าเราเป็นเพื่อนกันแล้วนะคะ ^_^
"นีน่า" (Nina) ชื่อนี้เจ้าได้แต่ไรมา....ฮ่า ฮ่า ไม่ต้องสงสัยค่ะ หน้าไทยขนาดนี้...นี่คือ Pen Name หรือนามแฝง....เป็นนิกเนมที่เพื่อนฝรั่งชอบเรียกค่ะ...เพราะเรียกง่ายดี....ไม่มีอะไรมาก....มีพี่ที่เคารพท่านหนึ่ง ประทานนามนี้มาให้....เลยใช้ชื่อนี้ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
ขอแนะนำตนเองอย่างเป็นทางการ ก่อนจะนำเพื่อนๆ เข้าสู่เรื่องราวและประสบการณ์ชีวิตของนีน่า ทำไมต้องใช้ชื่อโพสต์ว่า ...."เลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นได้"....เพื่อนๆ บางคนอาจกำลังสงสัย....คำตอบ...คือ.....นีน่าอยากเขียนโพสต์นี้เพื่อให้กำลังใจเพื่อนๆ.....ที่กำลังคิดว่า....ทำไมชีวิตตัวเองถึงเกิดมาลำบากเหลือเกิน....ครอบครัวยากจน....หนังสือก็ไม่ได้เรียน....ทำงานหาเช้ากินค่ำไปวันๆ....ยิ่งคิดยิ่งเศร้า....ยิ่งทำยิ่งจน....ยิ่งอดทนยิ่งแย่.... และอะไรต่อมิอะไรที่ถาโถมข้ามาชีวิต....Oh! My God! โลกนี้ช่างโหดร้ายกับฉันซะเหลือเกิน!!!
อย่าเพิ่งหมดหวังในชีวิตค่ะเพื่อนๆ ดูชีวิตของนีน่าเป็นตัวอย่าง....จะขอเล่าเรื่องราวจากประสบการณ์ชีวิตจริงของตัวเองให้เพื่อนๆ ได้ลองอ่านดู...เพื่อเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังรู้สึก....หมดหวังท้อแท้กับชีวิตอยู่ในขณะนี้....ได้มีกำลังใจลุกขึ้นมาต่อสู้กับโชคชะตา....ที่อาจกำลังส่งบททดสอบชีวิต....มาให้พวกเราได้ศึกษาเรียนรู้...ก่อนที่จะส่งมอบของขวัญอันแสนวิเศษให้กับเรา....หากเราเข้าใจและสามารถก้าวผ่านช่วงเวลาแห่งบททดสอบนี้ไปได้... ขอเพียงแค่ให้เรามีสติและคิดถึงแต่สิ่งที่ดี...จากนั้น สิ่งดีๆ ก็จะเข้ามาหาเราเอง
"นีน่า" เกิดมาในครอบครัวที่ยากจนมาก มีพี่น้องทั้งหมด 3 คน ตัวเองเป็นพี่สาวคนโต.....ตั้งแต่จำความได้ เห็นพ่อกับแม่ทะเลาะกันเกือบทุกวัน และต้องทำงานตั้งแต่เด็ก....จำได้ว่า อายุประมาณ 6 ขวบ แม่จะปลุกให้ตื่นตอนตี 1 ทุกวัน เพื่อเดินไปส่งแม่ขายของที่ตลาด นั่งขายข้าวสารกับแม่บริเวณไหล่ทางในตลาดตั้งแต่เวลาประมาณตีหนึ่งตีสองถึงเช้าทุกวัน ถ้าง่วงมากๆ ก็จะนอนใต้โต๊ะขายของในตลาดที่แม่ค้าเอามาตั้งขายของ โดยแม่จะใช้กระสอบที่เหลือจากใส่ข้าวสารปูให้นอนกับพื้น....พอตอนเช้าติดรถพ่อค้าแม่ขายแถวนั้นกลับบ้าน เพื่อไปโรงเรียน ส่วนแม่ก็ต้องรอขายข้าวสารให้หมดก่อนถึงจะได้กลับบ้าน
พ่อของนีน่า เป็นคนเงียบ พูดน้อย พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ และชอบดื่มสุราเป็นงานประจำ หลังจากเสร็จงานอดิเรกในแต่ละวัน.....ส่วนแม่เป็นผู้หญิงที่ขยัน อดทน อัธยาศัยดี ช่างพูด ช่างเจรจามากๆๆๆ....นีน่าคิดว่าท่านทั้งสองคงรักกันมาก ...ถึงมีลูกด้วยกันถึงสามคน....ถือไม้เท้ายอดตอง กระบองคนละด้ามมาตลอด...ท่านจึงอยู่ด้วยกันมาจนถึงทุกวันนี้...เพียงแต่ท่านมีทัศนคติที่ไม่ค่อยจะตรงกันสักเท่าไหร่..จึงชอบทะเลาะกันเป็นประจำแทบทุกวัน...และถ้าวันไหนที่ทะเลาะกันขั้นรุนแรง....แม่ก็จะไม่ไปขายของที่ตลาด นอนร้องไห้อยู่ในบ้านทั้งคืนจนเช้า...ตอนเช้านีน่าก็ต้องรีบตื่นขึ้นมาทำความสะอาดบริเวณบ้าน เพราะข้าวของกระจุยกระจายเต็มบ้าน....โดยเฉพาะเศษแก้วจากตู้เก็บของและหลอดไฟนีออนที่แตกกระจายทั่วบ้าน...จากบันดาลโทสะของพ่อ ตอนที่มีการทะเลาะกัน....ซึ่งพ่อจะไม่สามารถควบคุมสติได้เมื่อมีอาการเมาสุรา...และเหตุการณ์แบบนี้ก็เกิดขึ้นเป็นประจำ....จนเพื่อนบ้านแถวนั้นเอือมระอา
และถ้าวันไหนเหตุการณ์เลวร้ายมากๆ ....คุณตาข้างบ้าน ซึ่งตอนนี้ท่านได้เสียชีวิตไปแล้ว ถือว่าท่านเป็นผู้มีพระคุณกับนีน่าและน้องๆ มาก....ในยามที่พ่อกับแม่เข้าสู่สมรภูมิรบและทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันอย่างเอาเป็นเอาตาย....คุณตาก็จะวิ่งมาหาพวกเราจูงมือนีน่าและอุ้มน้องๆ....วิ่งออกมาจากสมรภูมิรบในบ้านอย่างรวดเร็ว...เพราะท่านเกรงว่าพวกเราจะได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ของทั้งสองฝ่าย..เหตุการณ์เป็นแบบนี้อย่างต่อเนื่อง....ตั้งแต่จำความได้ถึงปัจจุบัน....ซึ่งท่านก็ยังไม่มีการพูดคุยสมานฉันท์กันจนถึงทุกวันนี้....แต่ก็น่าแปลกที่ว่า...ท่านก็ยังอาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน....จนถึงทุกวันนี้
ตอนเรียนอยู่ระดับชั้นประถม...นีน่าเป็นเด็กที่เรียนดีมากสอบได้ที่ 1 แทบทุกเทอมทุกปี แถมได้เป็นหัวหน้าห้องเกือบทุกชั้นเรียนตัั้งแต่ ป1-ป6 .....โดยมีใบประกาศนียบัตรการันตีจนนับไม่ถ้วน เช่น ชนะเลิศการอ่าน.....ชนะเลิศการเขียน....ชนะเลิศการแข่งขันคิดเลขเร็ว ฯลฯ (ไม่ได้โม้นะคะเรื่องจริง)....โดยตอนที่เรียนอยู่ก็ต้องรับจ้างทำงานทุกอย่างที่มีคนมาจ้าง.... เช่น รับจ้างทำความสะอาดบ้านครั้งละ 20 บาทต่อบ้าน 1 หลัง....รับจ้างตักน้ำ-หาบน้ำใส่ตุ่มหาบละ 1 บาท (สมัยก่อนยังไม่มีน้ำประปาใช้อย่างแพร่หลาย).....รับจ้างล้างจานที่ร้านขายอาหารวันละ 20 บาท......รับจ้างปักผ้าผืนละ 4-6 บาท......รับจ้างส่งเด็กนักเรียนซ้อนท้ายจักรยานไปโรงเรียนวันละ 5 บาท......รับจ้างถางหญ้าวันละ 50 บาท (งานนี้เหนื่อยมากตากแดดร้อนๆ ทั้งวันในทุ่งนา) ฯลฯ ......รวมทั้งไปเก็บหอย เก็บเห็ด หาปู หาปลา หาทุกอย่างที่สามารถกินได้มาให้แม่ทำกับข้าว.....เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในครอบครัว.....ทำทุกอย่างเท่าที่เด็กน้อยคนหนึ่งจะมีแรงและสามารถทำได้....เพื่อจะได้ช่วยเหลือพ่อแม่.....และมีเงินค่าขนมไปโรงเรียนทุกวัน....โดยไม่ต้องรบกวนพ่อแม่
หลังจากเรียนจบระดับประถมศึกษาปีที่ 6 ....ทางโรงเรียนเห็นว่านีน่าเป็นเด็กที่เรียนดีแต่ยากจน....จึงประสานไปที่โรงเรียนระดับมัธยม...เพื่อขอยื่นเรื่องให้นีน่าได้รับทุนการศึกษาต่อในระดับชั้นมัธยม....แต่ชีวิตก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ...ถึงมีโอกาส...ก็ไม่สามารถศึกษาต่อได้....ซึ่งนีน่าจำได้ว่า วันนั้น มีหญิงชายคู่หนึ่ง...มาหาพ่อกับแม่ที่บ้าน....ทราบต่อมาว่าท่านทั้งสองเป็นอาจารย์ของโรงเรียนมัธยมที่ให้ทุนการศึกษาแก่นีน่า....แต่เสียดายที่นีน่าไม่อยู่บ้าน....เพราะมัวแต่ไปช้อนลูกอ๊อดที่ทุ่งนามาทำกับข้าวตอนเย็น (ภาษาเหนือเรียกว่า "ซ้อนอีฮวก" เด็กสมัยนี้อาจจะไม่รู้จักว่ามันสามารถทานได้ เป็นเมนูระดับห้าดาวของครอบครัวนีน่า 555..) เมื่อได้ลูกอ๊อดจนเป็นที่พอใจแล้ว ก็รีบกลับบ้าน....แต่ก่อนจะถึงบ้านก็แวะดื่มน้ำ ที่บ้านคุณน้าใจดีท่านหนึ่ง เพราะอากาศร้อนมาก....ซึ่งน้าคนนั้นบอกว่า....เมื่อสักครู่มีคนมาหาที่บ้าน เป็นอาจารย์ที่โรงเรียนมัธยม....ทราบเรื่องยังไม่ทันจบ รู้ทันทีว่าต้องเป็นเรื่องเรียนต่อแน่นอน.... จึงรีบวิ่งกลับไปบ้าน...ถามแม่ว่า แม่ให้ไปเรียนหนังสือต่อหรือเปล่า??...แม่นิ่งสักครู่ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ ว่า...ถึงแม้ว่าลูกจะได้ทุนการศึกษา ได้เรียนฟรีไปตลอด....แต่แม่ไม่มีเงินพอที่จะซื้อเสื้อผ้า ชุดนักเรียน....หรืออุปกรณ์ทางการศึกษาให้ลูกได้
โดยช่วงชีวิตที่ผ่านมาในวัยเด็ก....เสื้อผ้าที่นีน่าสวมใส่....ส่วนใหญ่เป็นเสื้อผ้าที่ได้รับบริจาคมาจากคนที่รู้จัก....ไม่ค่อยมีโอกาสได้สวมใส่เสื้อผ้าใหม่ ๆ ....มีอยู่ครั้งหนึ่งพาน้องไปเดินเล่นแถวๆ บ้าน....เด็กน้อยคนหนึ่งเข้ามาชี้ที่ชุดที่นีน่าสวมใส่แล้วบอกให้ถอดออกซะ....เพราะนี่คือชุดของน้าเค้า....ท่ามกลางผู้คนนับสิบ...รู้สึกอายมาก...แต่ก็คิดว่าไม่เป็นไร....น้องเค้าเป็นเด็ก ยังไม่รู้เรื่องและคงพูดไปตามที่เห็น.....ถ้าเค้าโตกว่านี้เค้าคงจะไม่พูดแบบนี้...คิดได้ดังนั้นก็รู้สึกสบายใจขึ้น
เมื่อทราบแน่นอนแล้วว่า....พ่อกับแม่ปฏิเสธการเรียนต่อจากอาจารย์ทั้งสองไป...ช่วงขณะหนึ่ง...รู้สึกเศร้ามาก...น้อยใจในโชคชะตาของตัวเองเหลือเกิน....แม้โอกาสจะเดินเข้ามาหาถึงบ้าน...แต่โชคชะตาก็ไม่เปิดโอกาสให้เข้าไปไขว่คว้าได้.....คงทำได้แค่...นั่งมองตาปริบๆ (ถ้าเพื่อนๆ นึกภาพไม่ออก ให้นึกถึง ตอนที่สุนัขนั่งมองปลากระป๋องนั่นแหละค่ะ คงจะอยู่ในอารมณ์เดียวกันเลย) แต่ก็เศร้าได้แค่ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้นแหละค่ะ ...ชีวิตต้องดำเนินต่อไป The show must go on! and Keep walking!
เรื่องแค่นี้ไม่สามารถมาทำลายความฝัน...ความหวัง...ของนีน่าได้หรอกค่ะ...ในยามค่ำคืนบนท้องฟ้ามีดาวระยิบระยับสวยงาม...นีน่าจะชอบมานั่งที่ประตูหน้าบ้าน...แล้วแหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้า....กระซิบบอกกับตัวเองเสมอว่า....สักวันต้องได้ดี Cheer!!
“Even if we don’t have the power to choose where we come from, we can still choose where we go from there.”
-คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นได้-
"อยู่ที่ตัวเราเป็นคนกำหนด"
OTHER BLOGS THAT I WRITE