จดหมายถึงลูกรัก




ดหมายถึงลูกรัก…..
แม่นั่งพิมพ์จดหมายฉบับนี้  ด้วยความรู้สึกที่แสนเศร้า  นับตั้งแต่วันที่แม่ตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิตใหม่   ไม่มีวันไหนที่แม่คนนี้จะไม่คิดถึงลูก  ความห่วงใยที่มีต่อลูกไม่มีวันลดน้อยลง  แม่รักลูกเสมอ ทุกลมหายใจเข้าออกคิดถึงแต่ลูก   ได้แต่หวังและภาวนาว่า  วันหนึ่งจะมีโอกาสได้ดูแลลูกของแม่อีกครั้ง
แม่ไม่เคยลืมวันนั้น  วันที่ลูกของแม่อายุได้เพียง 7 ปี 8 เดือน 25 วัน  เราสองแม่ลูกช่วยกันเก็บข้าวของที่จำเป็นต้องใช้แพ็คใส่กระเป๋าขึ้นรถ  มือน้อยๆ ของลูก  ช่วยแม่ยกโต๊ะ ยกกระเป๋า  แม่ยังจำคำพูดทุกคำของลูกได้  ลูกบอกแม่ว่าให้วางของต่างๆ ไว้บนโต๊ะ แล้วเราก็ช่วยกันยกโต๊ะขึ้นไปที่ห้องใหม่ของแม่
ด้วยวัยที่ไร้เดียงสา   ลูกคงคิดเพียงว่าแม่คงไปอยู่ที่ไหนสักแห่ง  เดี๋ยวเดียวคงกลับมา  คงไม่คิดว่านั่นคือวันสุดท้ายที่เราได้อยู่ด้วยกันที่บ้านหลังนี้
นับจากวันนั้นถึงวันนี้  ไม่มีวันไหนเลยที่แม่จะไม่คิดถึงลูก  อยากเห็นหน้า  อยากได้ยินเสียงเรียก  อยากวิ่งเข้าไปกอด  อยากนั่งพูดคุย  อยากสอนการบ้าน อยากดูทีวีด้วยกัน  อยากเป็นเช่นนี้ ทุกวันคืน  แต่ทุกอย่างก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้ว 
ตอนนี้ลูกอาจยังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจคำอธิบายของแม่  เมื่อวันหนึ่งที่ลูกเติบโตขึ้น ลูกได้อ่านจดหมายฉบับนี้ ลูกจะเข้าใจว่าเพราะเหตุใดแม่จึงตัดสินใจทำเช่นนี้

คำสอนของแม่อาจไม่ได้สำคัญอะไร  แต่ลูกของแม่เป็นผู้ชาย  วันไหนที่ลูกแต่งงานมีครอบครัว  ขอให้ซื่อสัตย์ต่อคนรัก  อย่าคิดนอกลู่นอกทาง  รักเขาให้มาก   เป็นผู้นำครอบครัวที่ดี  อย่าเอารัดเอาเปรียบภรรยา   ให้เกียรติดูแลซึ่งกันและกัน  อย่านำสิ่งชั่วร้ายมาสู่คนที่รักลูก  
หากลูกมีเพื่อนก็ขอให้เลือกคบเพื่อนที่ดี เป็นกัลยาณมิตรที่พากันไปหาความเจริญก้าวหน้าในชีวิต อย่าหลงทางสู่อบายภูมิและนำปัญหามาสู่ครอบครัว  คนที่รักลูกที่สุดคือตัวของลูกเอง  คำว่าเพื่อนกินนั้นหาง่าย   แต่คนที่พร้อมจะตายไปด้วยกันหาได้ไม่ง่ายเลย

แม่ไม่รู้ว่าจะมีลมหายใจสุดท้ายถึงเมื่อไหร่  แต่ทุกลมหายใจของแม่จะทำทุกอย่างเพื่อลูก 
คนทุกคนมีเหตุผลในการกระทำสิ่งต่างๆ เสมอ  บางครั้งก็ยากที่จะอธิบายให้คนอื่นได้รับรู้และเข้าใจ 
โอกาสดีๆ ในชีวิตของแม่นั้นมีน้อยเหลือเกิน ต้องต่อสู้ดิ้นรน ฝ่าฟันอุปสรรคทุกอย่างอย่างยากลำบาก  แม่จึงไม่อยากให้ลูกชายของแม่มีชีวิตที่ยากลำบากแบบนี้  
บนโลกใบนี้ไม่มีใครที่เกิดมาพร้อมสมบูรณ์แบบ   ไม่มีความสำเร็จใดที่จะได้มาง่ายๆ   หากไม่มีบททดสอบแห่งทุกข์   ความสุขก็จะมาไม่ถึง   ขอให้ลูกอดทนและเข้มแข็งไว้……….รักลูกที่สุด




ใกล้ถึงวันแม่แล้ว....ขอให้ลูกรักของแม่ มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง  มีสติปัญญาทั้งทางโลกและทางธรรม คิดดี ทำดี พูดดี...แล้วสิ่งดีๆ จะเกิดขึ้นกับชีวิตของลูก...ด้วยรักและห่วงใยนะครับ  ^_^


ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน (ตอนที่ 3)

ฉันไม่ใช่คนเก่งกาจ....ฉันแค่ไม่เคยรอวาสนา....ฉันต่อสู้ทุกอย่างกว่าจะได้มา
ฉันจึงรู้คุณค่าความเป็น  "คน"
--------------------------------
"คน"   คือ  การกวน ผสม ปนเป รวบรวมสิ่งต่างๆ ให้เข้ากัน รวมเป็นหนึ่ง

กลับมาอีกครั้งตามคำเรียกร้องของหัวใจตัวเอง...หวังว่าเพื่อนๆ ยังคงจำกันได้กับบทความที่ผ่านมาของนีน่านะคะ...กำลังอยู่ในห้วงอารมณ์เจ้าบทเจ้ากลอน...จึงคิดถึงบล็อกนี้ขึ้นมา....จำได้ว่า....กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว...ได้เขียนบทความดีๆ ให้เพื่อนๆ ได้อ่าน....นับจากวันนั้นถึงถึงวันนี้ก็ประมาณ 3 เดือน แล้วค่ะ...วันเวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วเหลือเกิน...จนบางครั้งรู้สึกใจหาย...นับตัวเลขอายุอานาม...ก็เพิ่มมากขึ้นไปทุกวัน...จึงอยากให้ทุกคนได้สนุกกับชีวิต...มีความสุขกับทุกช่วงวัย...แต่ละช่วงชีวิตมีอะไรหลายอย่างที่ทำแตกต่างกันไป...คนบางคนมัวแต่ก้มหน้าก้มตาทำงานอย่างเดียว...จนลืมช่วงเวลาแห่งความสุขสนุกของชีวิตไป...หวังเพียงเพื่อให้ตนเองได้สุขสบายในบั้นปลายชีวิต...รู้ตัวอีกทีก็แก่เสียแล้ว....จะกินจะเที่ยวเหมือนตอนสมัยหนุ่ม ๆ ก็ลำบาก....เพราะฉะนั้น จงสนุกกับชีวิต...ไม่ว่าเรื่องดีหรือร้ายที่ผ่านเข้ามา...ให้คิดเสียว่าทุกอย่างเป็นบทเรียน...เต็มที่กับทุกวัน...ทำวันนี้ให้เหมือน...ไม่มีพรุ่งนี้...แล้วชีวิตจะไม่ธรรมดาอีกต่อไป




ฮ่า ฮ่า ฮ่า เห็นภาพแบบนี้แล้ว...เพื่อนๆ  อย่าคิดว่านี้คือบล็อก NINA พาเที่ยวนะคะ...แค่นำมาประกอบการบรรยายให้ได้เห็นถึงอารมณ์หรือ feeling ของการสนุกกับชีวิตในทุกช่วงเวลาเท่านั้นค่ะ...แต่ชีวิตคนเราจะกินจะเที่ยวอย่างเดียวก็ไม่ได้...ต้องทำงานด้วยนะคะ อย่าขี้เกียจ ขอย้ำ...คนบางคน บ่นโทษดินโทษฟ้า โทษสิ่งต่างๆ รอบตัว ที่ทำให้ตนเองยากจน ไม่มีกินมีใช้....แต่คนเหล่านั้นเคยคิดทบทวนหรือถามตัวเองหรือยังว่า...ขยันพอหรือยัง...มีความอดทนพอหรือยัง...มีความมานะพยายามมากพอหรือยัง...นี่คือสัจธรรมของชีวิตค่ะ...ทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้น...ทำงานก็มีกินมีใช้....ไม่ทำงานก็ไม่มีกินไม่มีใช้....นอกเสียจากว่า...คุณเกิดมาบนกองเงินกองทองที่กินใช้เท่าไหร่ก็ไม่มีวันหมดเท่านั้น...แต่จะมีสักกี่คนที่โชคดีแบบนี้...มาสร้างทุกอย่างด้วยตัวของเราเองจะดีกว่า...ความรู้สึกภูมิใจมันต่างกันค่ะ


อารัมภบทมาซะยาว...มาเข้าเรื่องกันต่อดีกว่าค่ะ...จากตอนที่แล้วเมื่อเดินทางมาถึงกรุงเทพฯ...เห็นสภาพแวดล้อมเมืองกรุงแล้วชวนขนลุกขนพอง....พักอยู่กับคนรู้จักได้หนึ่งคืน...เจ้านายคนใหม่ก็มารับไปทำงาน...แม่กับน้องชายจึงเดินทางกลับ

บ้านที่เจ้านายพามาทำงานเป็นเทาน์เฮ้าส์อยู่แถวปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี...หน้าที่ของนีน่าคือทำความสะอาดบ้านและดูแลลูกสาวตัวเล็กๆ ของเค้าซึ่งอายุประมาณ 3 ขวบ...เจ้านายคนใหม่เป็นคนสวยและใจดี...เธอมาทำงานอยู่ในกรุงเทพฯ ตั้งแต่เรียนจบ...ด้วยความสาวความสวยทำให้กลายเป็นอนุภรรยาของเถ้าแก่ไปโดยปริยาย...จนมีลูกสาวด้วยกัน 1 คน....เถ้าแก่ทั้งรักทั้งหลงเลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดี...มีบ้านมีรถยนต์ใช้...มีธุรกิจให้ดูแล...เรียกว่าได้ดิบได้ดีและไม่ต้องลำบากอีกต่อไป


มาทำงานที่นี่ไม่ลำบากมาก...แต่รู้สึกเหงาเป็นบางครั้ง...เพราะวันจันทร์ถึงศุกร์ช่วงกลางวันต้องอยู่บ้านคนเดียว...เจ้านายไปทำงานและลูกสาวเค้าก็ไปโรงเรียน....ทำงานได้ไม่นานนัก...ธุรกิจที่เจ้านายดูแลก็ขยายสาขาไปที่เชียงใหม่....ซึ่งเป็นธุรกิจร้านอาหาร เปิดจำหน่ายอาหารใน Food Center ของห้างดังต่างๆ เช่น เดอะมอลล์, เซ็นทรัล และอีกหลายสาขา...ซึ่งเจ้านายบอกว่า ห้างเซ็นทรัลกาดสวนแก้วและแอร์พอร์ตพลาซ่า กำลังจะเปิดเร็วๆ นี้...ดังนั้นเราทั้งหมดต้องย้ายไปอยู่ที่เชียงใหม่...และให้นีน่าไปฝึกทำงานที่ห้างเดอะมอลล์...ก่อนที่จะย้ายไปอยู่เชียงใหม่

เมื่อการทำงานที่ห้างเริ่มขึ้น...เด็กหญิงต่างจังหวัดในวัยเพียง 12 ปี ต้องนั่งรถประจำทางไปทำงานด้วยตนเองทุกวัน... A small girl  ในดินแดนพิศวง...ความงงงวยของชีวิตก็เข้ามาเยือน...บ่อยครั้งที่นีน่านั่งรถประจำทางผิดสาย...เพราะรู้สึกสับสนและต้องนั่งรถหลายต่อประมาณสองชั่วโมงกว่าจะถึงจุดหมาย...ซึ่งทุกครั้งที่หลงทาง...ก็จะพยายามมองหาหนทางไปต่อให้จนได้...ถึงแม้จะถึงที่หมายปลายทางช้าหรือสายไปบ้าง ก็จะบอกกับตัวเองเสมอว่า "ไม่เป็นไร"  เพราะความผิดพลาดทุกอย่างมันคือ ประสบการณ์ชีวิต


....Discover your fun and enjoy with everything in your life...



ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน (ตอนที่ 2)

หลังจากที่ห่างหายจากบล็อกนี้มานานหลายวัน มัวแต่ไปโม้เรื่องการท่องเที่ยวในบล็อกพาเที่ยว..... http://ninapatell.blogspot.com/ (NINA พาเที่ยว) วันนี้ว่างงานเป็นวันแรก...เลยขอเล่าเรื่องราวและประสบการณ์ชีวิตของตัวเองให้เพื่อนๆ ฟังกันต่อนะคะ


หลังจากที่พ่อแม่อนุญาตให้ไปทำงานที่ร้านเสริมสวยในจังหวัดเชียงใหม่แล้ว...ตอนนั้นอายุประมาณ 11 ย่าง 12 ปี...ทำงานได้ค่าจ้างวันละ 10 บาท เดือนละ 300 บาท...อาหารฟรี ที่พักฟรี...ทำงานไม่มีวันหยุด...เริ่มงานประมาณ 6.00 โมงเช้า..ก็ตั้งแต่ตื่นลืมตานั่นแหละค่ะ....ทำงานถึงประมาณ 2 ทุ่ม ร้านก็ปิด....เริ่มงานตอนเช้าตรู่โดยต้องนำผ้าเช็ดผมผืนเล็กๆ กองใหญ่ๆ มาซักตากให้แห้ง (ซักมือนะคะไม่มีเครื่องซักผ้าให้) หลังจากนั้นก็ทำความสะอาดบริเวณร้าน...ซึ่งร้านที่ทำงานอยู่นี้เป็นตึกแถว 3 ชั้น..ครั้งแรกที่มาอยู่เจ้าของร้านให้พักที่ห้องรับแขก...เป็นห้องพักที่ค่อนข้างดีมาก...ยังอดคิดไม่ได้ว่า....เจ้าของร้านใจดีจังเลย...ให้ลูกจ้างพักห้องที่ใหญ่กว่าห้องของตัวเองอีก...แต่ผ่านไปได้เพียงอาทิตย์เดียวเท่านั้น.....เจ้าของร้านก็บอกให้นีน่ากับเพื่อนย้ายขึ้นไปพักชั้นบนสุด...เป็นห้องเล็กๆ ปูที่นอนบางๆ นอนกับพื้น....มีกระจกเก่าๆ ที่ใช้แล้วหนึ่งใบ....ให้ไว้ส่องดูเงาตัวเอง


สำหรับการทำงานหน้าร้านเสริมสวย...นีน่ากับเพื่อนได้รับตำแหน่งเป็นผู้ช่วยช่าง...ฟังดูดีนะคะ...หน้าที่จริงๆ คือ เด็กสระผม...ทำเล็บมือเล็บเท้า...ยืนจับไดร์เป่าผมให้ช่าง...อะไรประมาณนี้แหละค่ะ...ถ้าวันไหนลูกเยอะก็ยืนกันทั้งวัน...ข้าวปลาไม่ต้องถามหา...ต้องสลับสับเปลี่ยนกันมากิน...ส่วนอาหารที่ทางร้านจัดไว้ให้เท่าที่จำได้ก็คือ..ผัดผักรวม...ได้กินแทบทุกวัน...สงสัยเจ้าของร้านอยากให้เรามีสุขภาพดี...กินผักเยอะๆ จะได้แข็งแรง :) แต่ก็อร่อยดีค่ะ....ทานกับข้าวสวยร้อนๆ มีประโยชน์ต่อสุขภาพ 


ทำงานที่นี่ได้ 1 ปีเต็มก็ขออนุญาตเจ้าของร้านลาออกจากตำแหน่ง..แต่เพื่อนยังทำงานต่อ...สาเหตุที่ต้องลาออกเป็นเพราะ....ตอนกลับบ้านไปเยี่ยมครอบครัว...แม่เล่าให้ฟังว่า....ลูกสาวของยายข้างบ้านอยากได้พี่เลี้ยงเด็ก...ไปดูแลลูกสาวตัวเล็กๆ ของเค้าที่กรุงเทพฯ อายุประมาณ 3 ขวบ ซึ่งยายที่พูดถึงนี้ คือ หมอตำแยทำคลอดให้แม่ตอนที่นีน่าคลอด เพราะสมัยก่อนต้องทำคลอดกันเองในหมู่บ้าน...ใช้บริการจากหมอตำแย....ไม่ได้ไปคลอดที่โรงพยาบาลเหมือนปัจจุบัน....เนื่องจากโรงพยาบาลอยู่ไกลประมาณ 30 กิโลเมตร...การเดินทางและถนนหนทางยังไม่พัฒนาเหมือนปัจจุบัน...รวมทั้งชาวบ้านส่วนใหญ่ก็ยังมีฐานะยากจนกันอยู่...ต้องใช้เกวียนเป็นพาหนะ


เมื่อตัดสินใจลาออกงานที่ร้านเสริมสวย....ก็เดินทางเข้ากรุงเทพฯ   ไปทำงานกับลูกสาวของหมอตำแย...ซึ่งการเดินทางไปกรุงเทพฯ ครั้งแรกในชีวิตนี้...ต้องติดสอยห้อยตามคนรู้จักไป...ไม่ได้เดินทางไปกับนายจ้างคนใหม่หรอกค่ะ...เขาบอกจะรอรับอยู่ที่กรุงเทพฯ ...จึงทำให้แม่เป็นห่วงและขอเดินทางไปส่งนีน่าที่กรุงเทพฯ  ด้วยคน...โดยพาน้องชายคนเล็กที่อายุประมาณ 2 ขวบกว่าๆ เดินทางไปด้วยกัน


ชีวิตของคนต่างจังหวัดเมื่อต้องเดินทางเข้ามาทำงานและพักอาศัยอยู่ใน "กรุงเทพมหานคร" เมืองหลวงของประเทศไทย...ที่ใครหลายคนต่างคิดว่า...ศิวิไลซ์และกว้างใหญ่ไพศาล....ภาพของเพื่อนบ้านที่นีน่ารู้จัก...ในยามที่กลับมาเยี่ยมบ้านทุกครั้ง....พวกเขาช่างดูดีมีสกุลเสียเหลือเกิน...แต่งตัวดี...ซื้อของมาฝากพ่อกับแม่แทบทุกครั้ง...ดูดีมีเงินใช้แบบสุขสบาย....ซึ่งมันทำให้นีน่าเข้าใจว่า....พวกเขาคงอยู่ดีมีสุข...ได้อยู่ในสถานที่ที่สุขสบาย...ทำงานดี...มีบ้านพักหลังใหญ่...มีอาหารดีๆ อร่อยๆ ให้กินทุกวัน....มีรถเก๋งคันโตคอยรับส่ง...และอีกมากมายในจินตนาการของหนูน้อยนีน่าที่คิดและเข้าใจไปเอง....แต่ก็นั่นแหละค่ะ....มันคือ จินตนาการ ของหนูน้อย....เข้าใจผิดและคิดไปเอง...ในโลกแห่งความจริงแล้ว....ทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่คิดที่หวังไว้เลยสักนิด


สภาพแวดล้อมที่พวกเขาอยู่ในแต่ละวัน...วิถีชีวิตที่ต้องต่อสู้ดิ้นรน...ต้องนั่งรถประจำทางวันละหลายชั่วโมงกว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง...ต้องพักอาศัยอยู่ในห้องเช่าเล็กๆ แคบๆ ซึ่งดูไม่ Balance กับจำนวนผู้พักอาศัยหลายชีวิตเอาเสียเลย....ถนนหนทางที่เดินเข้าไปบริเวณห้องเช่าก็สุดแสนจะน่ากลัว...เต็มไปด้วยผู้คนหลากหลายอาชีพ....หลากหลายแบบ....รวมทั้งคนงานต่างด้าวที่พักอาศัยอยู่บริเวณนั้นกำลังนั่งล้อมวงดื่มสุราอยู่สองข้างทางอย่างสนุกสนาน...เห็นภาพเช่นนั้นแล้ว...A Small girl in the Big City ก็อดหวั่นใจไม่ได้ว่า....ตนเองจะสามารถทำงานและอาศัยอยู่ในเมืองอันศิวิไลซ์นี้ได้นานแค่ไหน


หลังจากได้เห็นวิถีชีวิตของคนต่างจังหวัดที่เข้ามาทำงานอยู่ในกรุงเทพแล้ว....ทำให้นีน่าคิดมาโดยตลอดว่า.......ถ้าชีวิตเลือกได้.......ขอใช้ชีวิตอยู่ต่างจังหวัดจะดีกว่า




นั่งมองท้องทุ่งสีเขียวขจี......มีความสุขกับไอดินกลิ่นหญ้า...มันช่างหอมหวลชวนเคลิบเคลิ้มเหลือเกิน....ได้เวลา Relax อีกแล้วค่ะเพื่อนๆ ขอไปจิบกาแฟหอมๆ ก่อนสักแก้ว...แล้วจะมาเล่าให้ฟังต่อตอนหน้า...วันนี้ ขอให้ทุกคนมีความสุขค่ะ  Have a good day ^_^





ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน (ตอนที่ 1)



คำสอนของขงจื้อได้เขียนไว้แล้วกว่าพันปี มีเนื้อหาว่า....ถ้าคุณคิดจะเป็นใหญ่ คุณก็จะได้เป็นใหญ่....ถ้าคุณคิดอยากเป็นอะไร คุณก็จะได้เป็นสิ่งนั้น....เพราะแสวงหา มิใช่เพราะรอคอย....เพราะเชี่ยวชาญ มิใช่เพราะโอกาส....เพราะสามารถ มิใช่เพราะโชคช่วย....ดังนี้แล้ว ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน

ในโพสต์ที่แล้ว นีน่าเขียนเรื่อง "เลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นได้" เป็นบทความให้กำลังใจเพื่อนๆ เล่าผ่านประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตวัยเด็กของนีน่า...เชื่อว่าหลาย ๆ คน.....เมื่อได้อ่านแล้ว คงมีกำลังใจลุกขึ้นมาต่อสู้กับปัญหาไม่มากก็น้อยนะคะ


บนโลกที่กว้างใหญ่ใบนี้....ไม่ได้มีแค่เราเพียงคนเดียวหรอกค่ะที่กำลังประสบปัญหา..หรือพบเจอกับอุปสรรคมากมาย....มีคนอีกไม่รู้กี่ล้านคนที่มีชีวิตที่แย่กว่าเราหรือมีปัญหามากกว่าเรา....ขอแค่มีสติ คิดทบทวนไตร่ตรอง...สำรวจตัวเอง...ไม่โทษดินโทษฟ้า....มีทัศนคติเชิงบวก....มองเห็นโอกาสในทุกปัญหา....มองเห็นปัญหา คือ หนทางแห่งความสำเร็จ....นีน่าเชื่อว่าไม่นานหรอกค่ะ...ทุกอย่างที่เป็นปัญหาก็จะคลี่คลาย...สิ่งดีๆ ที่เรารอคอยอยู่...ก็จะมาปรากฎให้เราเห็นอย่างเหลือเชื่อ....เขียนแค่นี้คงไม่มีใครเชื่อ....หรือบางคนอาจกำลังคิดในใจอยู่ว่า....สงสัยจะงมงาย เพ้อเจ้อ ฝันลมๆ แล้งๆ...ไม่ผิดหรอกค่ะที่คิดแบบนั้น...นานาจิตตัง...มาอ่านเรื่องราวชีวิตของนีน่ากันต่อเลยดีกว่าค่ะ...Let's go!



หลังจากจบการศึกษาระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 และหมดโอกาสที่จะศึกษาต่อในระดับชั้นมัธยม...นีน่าก็ไปสมัครทำงานที่ร้านขายของชำแห่งหนึ่งอยู่แถวๆ บ้าน....ซึ่งร้านนี้จะมีการขายกับข้าวในช่วงเย็นด้วย....หากเพื่อนๆ มีประสบการณ์ในการทำอาหารก็จะทราบว่า...อุปกรณ์ในการทำอาหาร เช่น หม้อ ทัพพี ถ้วย ช้อน จาน ชาม ต่างๆ หลังจากที่ทำเสร็จแล้ว...จะต้องนำมาล้างทำความสะอาด...ลองนึกภาพดูค่ะ...ขนาดเราทำกับข้าวกินที่บ้าน กินกันแค่ 2-5 คน เท่านั้น....อุปกรณ์พวกนี้ยังเยอะเลยค่ะ ...แต่นี่คือร้านขายกับข้าวให้คนทั้งหมู่บ้านได้ซื้อกิน...คิดดูนะคะว่าอุปกรณ์ที่จะต้องนำมาล้างทำความสะอาด...มันจะกองมหึมาขนาดไหน...นั่นแหละค่ะ หน้าที่ของเด็กหญิงนีน่า....ก้มหน้าก้มตา ล้างให้หมด ล้างให้สะอาด ค่าจ้างวันละ 20 บาท คุ้มสุดๆ 


งานแรกผ่านไปอดทนทำได้ประมาณ 1 เดือน ก็มีคนรู้จักแนะนำให้ไปทำงานร้านอาหารแห่งใหม่...อยู่ที่อำเภอสันกำแพง....ด้วยความเป็นเด็กอายุอานามก็แค่ 11 ปีกว่า ๆ ...ต้องออกจากบ้านไปทำงานต่างจังหวัดเป็นครั้งแรกในชีวิต....รู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก...นั่งเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า...ความรู้สึกตอนนั้นเศร้ามาก น้ำตาไหลพรากๆ ....ถือกระเป๋าสีเขียวใบเล็ก ๆ เก่าๆ ใบหนึ่ง เก็บเสื้อผ้าเก่าๆ ที่คิดว่าสวยและดูดีที่สุดประมาณ 3 ชุด ยัดใส่ในนั้น....เดินไปขึ้นรถกระบะสีขาวคันหนึ่งที่มาจอดรอรับ...ก่อนขึ้นรถเหลียวมองหน้าแม่กับน้องที่เดินมาส่งขึ้นรถอีกครั้ง...น้ำตาไหลร้องไห้สะอึกสะอื้นตลอดทาง...รู้สึกคิดถึงบ้าน...คิดถึงพ่อ คิดถึงแม่ คิดถึงน้องๆ เหลือเกิน




เมื่อเดินทางมาถึงร้านอาหาร....วันนั้นเป็นวันหยุดพอดี...จึงยังไม่ต้องเริ่มทำงาน....ร้านอาหารแห่งนี้เปิดขายอาหารตอนกลางวันและเปิดเป็นคาราโอเกะในตอนกลางคืน......พี่ๆ หลายคนเห็นนีน่ามีท่าทางซึมเศร้าตาแดงๆ...จึงเข้ามาปลอบและให้กำลังใจ...เมื่อเริ่มรู้สึกดีขึ้นคิดอย่างเดียวว่าต้องอยู่ที่นี่ให้ได้..เพื่อเก็บเงินส่งให้แม่ได้ใช้จ่าย....นอนร้องไห้ได้แค่คืนเดียว วันรุ่งขึ้น....แม่ก็อุ้มน้องชายนั่งรถสองแถวมาหาที่ร้าน...บอกเจ้าของร้านว่าสงสารลูกที่เห็นลูกร้องไห้ก่อนขึ้นรถ...แม่คิดว่าลูกคงไม่อยากมาทำงานที่นี่...ขอมารับกลับบ้านวันนี้เลย...นี่แหละค่ะหัวอกคนเป็นแม่...ไม่มีแม่คนไหนหรอกค่ะที่ไม่รักลูก...วันไหนที่เรายิ้ม:)....หัวใจของแม่ก็จะมีความสุขกับเรา...แต่ถ้าวันไหนที่เราร้องไห้ T_T.... หัวใจของแม่ก็แตกสลายและเป็นทุกข์ไม่น้อยไปกว่าเรา...รักท่านให้มากๆ นะคะ




เมื่อได้กลับมาอยู่บ้านพร้อมหน้าครอบครัวอีกครั้ง....รู้สึกดีใจมาก....จากไปแค่คืนเดียวแต่รู้สึกเหมือนจากชั่วนิรันดร์....รีบไปสมัครทำงานที่ใหม่ทันทีค่ะ...อยู่แถวบ้าน..เป็นร้านขายส่งแหนมกับแคบหมูหน้าที่ของนีน่า คือ นั่งห่อแหนม ค่าจ้างวันละ 20 บาท...พอดีช่วงนั้นเป็นช่วงเก็บลำไยพอดี...มีคนมาจ้างให้ไปเก็บลำไยค่าจ้างวันละ 100 บาท.......จึงขอเจ้าของร้านพักงานห่อแหนมไว้ก่อน...แล้วไปเก็บลำไยต่อ...งานที่นี่ไม่หนักมาก นั่งท้ายรถกระบะไปทำงาน เช้าไป เย็นกลับ ทำงานกับกลุ่ม สว. สนุกมาก  (ปล. เพื่อนๆ คงไม่คิดว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะมานั่งเก็บลำไยวันละ 100 นะคะ.....สว. แปลว่าสูงวัยค่ะ) อายุบุคลากรที่มาทำงานด้วยกันนี้  รวมกันแล้วคงเป็นพันปีอ่ะค่ะ....ส่วนใหญ่จะอยู่ระหว่าง 45-60 ปี ....ส่วนนีน่า 11 ย่าง 12 ค่ะ เลยรู้สึกสนุกมาก เวลาผู้สูงวัยเล่าเรื่องสนุกๆ ให้ฟัง


ทำงานได้สักระยะ....ก็หมดฤดูเก็บเกี่ยวลำไย...พอดีช่วงนั้นมีคนมาติดต่อให้ไปทำงานที่เชียงใหม่...เป็นร้านเสริมสวย...เจ้าของร้านรู้จักกับพ่อแม่....เลยมาติดต่อให้ไปทำงานที่นี่....โดยจะจ่ายค่าจ้างให้เดือนละ 300 บาท...แม่เห็นว่าเป็นงานที่ดี...ถือว่าเป็นการฝึกอาชีพไปด้วย...ถึงค่าตอบแทนจะน้อย แต่ก็ได้ความรู้และสามารถนำไปประกอบเป็นอาชีพได้...อีกทั้งไม่ได้ไปทำงานคนเดียว...มีลูกพี่ลูกน้องของนีน่าไปด้วยอีกคน...ซึ่งเราสองคนสนิทสนมกันพอสมควร....การจากบ้านไปทำงานในครั้งนี้ จึงรู้สึกดีและมีความสุขกว่าครั้งก่อน


เห็นมั้ยคะเพื่อนๆ ว่าชีวิตของนีน่าลำบากแค่ไหน...ไม่ง่ายเลยใช่มั้ยคะ....นี่แค่เสี้ยวหนึ่งของชีวิตการทำงานเท่านั้นนะคะ....เขียนมาได้ขนาดนี้แล้ว ยังมองไม่เห็นหนทางที่จะมีโอกาสดีๆ...เข้ามาในชีวิตเลยค่ะ......เหลือบมองนาฬิกา ขณะนี้เป็นเวลา 3.06 am. แล้วค่ะ ได้เวลา Time to bed แล้วค่ะ ไว้จะมาเล่าเรื่องราวเป็นบทความดีดีให้เพื่อนๆ ได้อ่านในโพสต์ต่อไปนะคะ....วันนี้พอแค่นี้ก่อน Good night ค่ะ

- We write our own destiny, We become what we do -

"ความสำเร็จที่จะได้มานั้น....มันไม่ได้มาจากโชค....ไม่ได้มาจากฟ้าลิขิต....ไม่ได้อยู่เฉยๆ มันก็มาเอง....ความสำเร็จทุกอย่างนั้นมาจากการที่เราต้องลงมือสร้างมันขึ้นมา....ทำมันขึ้นมาด้วยตัวเราเอง....อาจจะต้องใช้เวลา....แต่ถ้าเราค่อยๆ ทำมันทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน....วันหนึ่งความสำเร็จก็จะมาหาเรา" 







เลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นได้




สวัสดีค่ะ เพื่อนๆ บนโลกออนไลน์ทุกท่าน ถึงแม้ว่าเราจะไม่เคยรู้จักกันมาก่อน หรืออาจจะรู้จักกันมาก่อนบ้างแล้ว บนโลกออนไลน์หรือในชีวิตจริง แต่เมื่อเพื่อนๆ เข้ามาคลิกอ่านในบล็อกนี้แล้ว นีน่าจะถือว่าเราเป็นเพื่อนกันแล้วนะคะ ^_^

"นีน่า" (Nina)  ชื่อนี้เจ้าได้แต่ไรมา....ฮ่า ฮ่า ไม่ต้องสงสัยค่ะ หน้าไทยขนาดนี้...นี่คือ Pen Name หรือนามแฝง....เป็นนิกเนมที่เพื่อนฝรั่งชอบเรียกค่ะ...เพราะเรียกง่ายดี....ไม่มีอะไรมาก....มีพี่ที่เคารพท่านหนึ่ง ประทานนามนี้มาให้....เลยใช้ชื่อนี้ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา


ขอแนะนำตนเองอย่างเป็นทางการ  ก่อนจะนำเพื่อนๆ เข้าสู่เรื่องราวและประสบการณ์ชีวิตของนีน่า ทำไมต้องใช้ชื่อโพสต์ว่า ...."เลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นได้"....เพื่อนๆ บางคนอาจกำลังสงสัย....คำตอบ...คือ.....นีน่าอยากเขียนโพสต์นี้เพื่อให้กำลังใจเพื่อนๆ.....ที่กำลังคิดว่า....ทำไมชีวิตตัวเองถึงเกิดมาลำบากเหลือเกิน....ครอบครัวยากจน....หนังสือก็ไม่ได้เรียน....ทำงานหาเช้ากินค่ำไปวันๆ....ยิ่งคิดยิ่งเศร้า....ยิ่งทำยิ่งจน....ยิ่งอดทนยิ่งแย่.... และอะไรต่อมิอะไรที่ถาโถมข้ามาชีวิต....Oh! My God! โลกนี้ช่างโหดร้ายกับฉันซะเหลือเกิน!!!

อย่าเพิ่งหมดหวังในชีวิตค่ะเพื่อนๆ ดูชีวิตของนีน่าเป็นตัวอย่าง....จะขอเล่าเรื่องราวจากประสบการณ์ชีวิตจริงของตัวเองให้เพื่อนๆ ได้ลองอ่านดู...เพื่อเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังรู้สึก....หมดหวังท้อแท้กับชีวิตอยู่ในขณะนี้....ได้มีกำลังใจลุกขึ้นมาต่อสู้กับโชคชะตา....ที่อาจกำลังส่งบททดสอบชีวิต....มาให้พวกเราได้ศึกษาเรียนรู้...ก่อนที่จะส่งมอบของขวัญอันแสนวิเศษให้กับเรา....หากเราเข้าใจและสามารถก้าวผ่านช่วงเวลาแห่งบททดสอบนี้ไปได้... ขอเพียงแค่ให้เรามีสติและคิดถึงแต่สิ่งที่ดี...จากนั้น  สิ่งดีๆ ก็จะเข้ามาหาเราเอง 


"นีน่า"  เกิดมาในครอบครัวที่ยากจนมาก มีพี่น้องทั้งหมด 3 คน ตัวเองเป็นพี่สาวคนโต.....ตั้งแต่จำความได้ เห็นพ่อกับแม่ทะเลาะกันเกือบทุกวัน และต้องทำงานตั้งแต่เด็ก....จำได้ว่า อายุประมาณ 6 ขวบ แม่จะปลุกให้ตื่นตอนตี 1 ทุกวัน เพื่อเดินไปส่งแม่ขายของที่ตลาด นั่งขายข้าวสารกับแม่บริเวณไหล่ทางในตลาดตั้งแต่เวลาประมาณตีหนึ่งตีสองถึงเช้าทุกวัน  ถ้าง่วงมากๆ ก็จะนอนใต้โต๊ะขายของในตลาดที่แม่ค้าเอามาตั้งขายของ โดยแม่จะใช้กระสอบที่เหลือจากใส่ข้าวสารปูให้นอนกับพื้น....พอตอนเช้าติดรถพ่อค้าแม่ขายแถวนั้นกลับบ้าน เพื่อไปโรงเรียน ส่วนแม่ก็ต้องรอขายข้าวสารให้หมดก่อนถึงจะได้กลับบ้าน

พ่อของนีน่า เป็นคนเงียบ พูดน้อย พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ และชอบดื่มสุราเป็นงานประจำ หลังจากเสร็จงานอดิเรกในแต่ละวัน.....ส่วนแม่เป็นผู้หญิงที่ขยัน อดทน อัธยาศัยดี ช่างพูด ช่างเจรจามากๆๆๆ....นีน่าคิดว่าท่านทั้งสองคงรักกันมาก  ...ถึงมีลูกด้วยกันถึงสามคน....ถือไม้เท้ายอดตอง กระบองคนละด้ามมาตลอด...ท่านจึงอยู่ด้วยกันมาจนถึงทุกวันนี้...เพียงแต่ท่านมีทัศนคติที่ไม่ค่อยจะตรงกันสักเท่าไหร่..จึงชอบทะเลาะกันเป็นประจำแทบทุกวัน...และถ้าวันไหนที่ทะเลาะกันขั้นรุนแรง....แม่ก็จะไม่ไปขายของที่ตลาด นอนร้องไห้อยู่ในบ้านทั้งคืนจนเช้า...ตอนเช้านีน่าก็ต้องรีบตื่นขึ้นมาทำความสะอาดบริเวณบ้าน เพราะข้าวของกระจุยกระจายเต็มบ้าน....โดยเฉพาะเศษแก้วจากตู้เก็บของและหลอดไฟนีออนที่แตกกระจายทั่วบ้าน...จากบันดาลโทสะของพ่อ ตอนที่มีการทะเลาะกัน....ซึ่งพ่อจะไม่สามารถควบคุมสติได้เมื่อมีอาการเมาสุรา...และเหตุการณ์แบบนี้ก็เกิดขึ้นเป็นประจำ....จนเพื่อนบ้านแถวนั้นเอือมระอา

และถ้าวันไหนเหตุการณ์เลวร้ายมากๆ ....คุณตาข้างบ้าน ซึ่งตอนนี้ท่านได้เสียชีวิตไปแล้ว ถือว่าท่านเป็นผู้มีพระคุณกับนีน่าและน้องๆ มาก....ในยามที่พ่อกับแม่เข้าสู่สมรภูมิรบและทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันอย่างเอาเป็นเอาตาย....คุณตาก็จะวิ่งมาหาพวกเราจูงมือนีน่าและอุ้มน้องๆ....วิ่งออกมาจากสมรภูมิรบในบ้านอย่างรวดเร็ว...เพราะท่านเกรงว่าพวกเราจะได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ของทั้งสองฝ่าย..เหตุการณ์เป็นแบบนี้อย่างต่อเนื่อง....ตั้งแต่จำความได้ถึงปัจจุบัน....ซึ่งท่านก็ยังไม่มีการพูดคุยสมานฉันท์กันจนถึงทุกวันนี้....แต่ก็น่าแปลกที่ว่า...ท่านก็ยังอาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน....จนถึงทุกวันนี้


ตอนเรียนอยู่ระดับชั้นประถม...นีน่าเป็นเด็กที่เรียนดีมากสอบได้ที่  1 แทบทุกเทอมทุกปี แถมได้เป็นหัวหน้าห้องเกือบทุกชั้นเรียนตัั้งแต่ ป1-ป6 .....โดยมีใบประกาศนียบัตรการันตีจนนับไม่ถ้วน เช่น ชนะเลิศการอ่าน.....ชนะเลิศการเขียน....ชนะเลิศการแข่งขันคิดเลขเร็ว ฯลฯ (ไม่ได้โม้นะคะเรื่องจริง)....โดยตอนที่เรียนอยู่ก็ต้องรับจ้างทำงานทุกอย่างที่มีคนมาจ้าง.... เช่น รับจ้างทำความสะอาดบ้านครั้งละ 20 บาทต่อบ้าน 1 หลัง....รับจ้างตักน้ำ-หาบน้ำใส่ตุ่มหาบละ 1 บาท (สมัยก่อนยังไม่มีน้ำประปาใช้อย่างแพร่หลาย).....รับจ้างล้างจานที่ร้านขายอาหารวันละ 20 บาท......รับจ้างปักผ้าผืนละ 4-6 บาท......รับจ้างส่งเด็กนักเรียนซ้อนท้ายจักรยานไปโรงเรียนวันละ 5 บาท......รับจ้างถางหญ้าวันละ 50 บาท (งานนี้เหนื่อยมากตากแดดร้อนๆ ทั้งวันในทุ่งนา) ฯลฯ  ......รวมทั้งไปเก็บหอย เก็บเห็ด หาปู หาปลา หาทุกอย่างที่สามารถกินได้มาให้แม่ทำกับข้าว.....เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในครอบครัว.....ทำทุกอย่างเท่าที่เด็กน้อยคนหนึ่งจะมีแรงและสามารถทำได้....เพื่อจะได้ช่วยเหลือพ่อแม่.....และมีเงินค่าขนมไปโรงเรียนทุกวัน....โดยไม่ต้องรบกวนพ่อแม่


หลังจากเรียนจบระดับประถมศึกษาปีที่ 6 ....ทางโรงเรียนเห็นว่านีน่าเป็นเด็กที่เรียนดีแต่ยากจน....จึงประสานไปที่โรงเรียนระดับมัธยม...เพื่อขอยื่นเรื่องให้นีน่าได้รับทุนการศึกษาต่อในระดับชั้นมัธยม....แต่ชีวิตก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ...ถึงมีโอกาส...ก็ไม่สามารถศึกษาต่อได้....ซึ่งนีน่าจำได้ว่า วันนั้น มีหญิงชายคู่หนึ่ง...มาหาพ่อกับแม่ที่บ้าน....ทราบต่อมาว่าท่านทั้งสองเป็นอาจารย์ของโรงเรียนมัธยมที่ให้ทุนการศึกษาแก่นีน่า....แต่เสียดายที่นีน่าไม่อยู่บ้าน....เพราะมัวแต่ไปช้อนลูกอ๊อดที่ทุ่งนามาทำกับข้าวตอนเย็น  (ภาษาเหนือเรียกว่า "ซ้อนอีฮวก" เด็กสมัยนี้อาจจะไม่รู้จักว่ามันสามารถทานได้ เป็นเมนูระดับห้าดาวของครอบครัวนีน่า 555..)  เมื่อได้ลูกอ๊อดจนเป็นที่พอใจแล้ว ก็รีบกลับบ้าน....แต่ก่อนจะถึงบ้านก็แวะดื่มน้ำ ที่บ้านคุณน้าใจดีท่านหนึ่ง เพราะอากาศร้อนมาก....ซึ่งน้าคนนั้นบอกว่า....เมื่อสักครู่มีคนมาหาที่บ้าน เป็นอาจารย์ที่โรงเรียนมัธยม....ทราบเรื่องยังไม่ทันจบ รู้ทันทีว่าต้องเป็นเรื่องเรียนต่อแน่นอน.... จึงรีบวิ่งกลับไปบ้าน...ถามแม่ว่า  แม่ให้ไปเรียนหนังสือต่อหรือเปล่า??...แม่นิ่งสักครู่ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ ว่า...ถึงแม้ว่าลูกจะได้ทุนการศึกษา ได้เรียนฟรีไปตลอด....แต่แม่ไม่มีเงินพอที่จะซื้อเสื้อผ้า ชุดนักเรียน....หรืออุปกรณ์ทางการศึกษาให้ลูกได้

โดยช่วงชีวิตที่ผ่านมาในวัยเด็ก....เสื้อผ้าที่นีน่าสวมใส่....ส่วนใหญ่เป็นเสื้อผ้าที่ได้รับบริจาคมาจากคนที่รู้จัก....ไม่ค่อยมีโอกาสได้สวมใส่เสื้อผ้าใหม่ ๆ ....มีอยู่ครั้งหนึ่งพาน้องไปเดินเล่นแถวๆ บ้าน....เด็กน้อยคนหนึ่งเข้ามาชี้ที่ชุดที่นีน่าสวมใส่แล้วบอกให้ถอดออกซะ....เพราะนี่คือชุดของน้าเค้า....ท่ามกลางผู้คนนับสิบ...รู้สึกอายมาก...แต่ก็คิดว่าไม่เป็นไร....น้องเค้าเป็นเด็ก ยังไม่รู้เรื่องและคงพูดไปตามที่เห็น.....ถ้าเค้าโตกว่านี้เค้าคงจะไม่พูดแบบนี้...คิดได้ดังนั้นก็รู้สึกสบายใจขึ้น


เมื่อทราบแน่นอนแล้วว่า....พ่อกับแม่ปฏิเสธการเรียนต่อจากอาจารย์ทั้งสองไป...ช่วงขณะหนึ่ง...รู้สึกเศร้ามาก...น้อยใจในโชคชะตาของตัวเองเหลือเกิน....แม้โอกาสจะเดินเข้ามาหาถึงบ้าน...แต่โชคชะตาก็ไม่เปิดโอกาสให้เข้าไปไขว่คว้าได้.....คงทำได้แค่...นั่งมองตาปริบๆ  (ถ้าเพื่อนๆ นึกภาพไม่ออก ให้นึกถึง ตอนที่สุนัขนั่งมองปลากระป๋องนั่นแหละค่ะ คงจะอยู่ในอารมณ์เดียวกันเลย)  แต่ก็เศร้าได้แค่ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้นแหละค่ะ ...ชีวิตต้องดำเนินต่อไป The show must go on! and Keep walking!

เรื่องแค่นี้ไม่สามารถมาทำลายความฝัน...ความหวัง...ของนีน่าได้หรอกค่ะ...ในยามค่ำคืนบนท้องฟ้ามีดาวระยิบระยับสวยงาม...นีน่าจะชอบมานั่งที่ประตูหน้าบ้าน...แล้วแหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้า....กระซิบบอกกับตัวเองเสมอว่า....สักวันต้องได้ดี Cheer!!

“Even if we don’t have the power to choose where we come from, we can still choose where we go from there.”

-คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นได้-
"อยู่ที่ตัวเราเป็นคนกำหนด"

OTHER BLOGS THAT I WRITE
ตำแหน่ง: ประเทศไทย